54 replies to this topic

[peter]

Advertisements

4รูปแรกจะเป็นการกล่าวนำสถานที่ต่างๆ ที่ได้ไปเที่ยวมาครับ
ช่วงเวลาการเดินทาง 24-27 ม.ค.2555 โดยพักที่เมืองเสียมเรียบ 3คืน มีสมาชิกร่วมทางทั้งหมด 7 คน โดยมีน้องโอ๋ค่อยประสานงานด้านการเดินทาง และ ค่อยเล่าประวัติความเป็นมาของโบราณสถานทุกแห่งที่ได้ไปเยือน พวกเราได้ไปเที่ยวสถานที่ดังต่อไปนี้ คือ

ปราสาทแม่บุญตะวันตก
นครวัด
นครธม ประกอบไปด้วย ปราสาทบายน,ปราสาทบาปวน,ปราสาทพิมาณอากาศ,ลานพระเจ้าขี้เลื้อน,ลานช้าง
ปราสาทบันทายเสร่ย
เดินขึ้นเขากบาลเสปียนปราสาทตาพรหมสระสรงLocal Night Market ที่เสียมเรียบวัดพรมรัตน์,วัดใหม่,บันทายเสร่ยจำลอง ปราสาทบันทายฉมาร์
ต้องขอบคุณน้องโอ๋ ที่คอยเขียนคำบรรยายโบราณสถานทุกแห่งในกัมพูชา โปรดติดตามชมได้เลยครับ

 

ติดตามได้ที่แฟนเพจ Backpacker by Peter / น้าเตอร์ท่องโลก เพราะโลกยังมีสิ่งแปลกใหม่น่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา ผมจึงต้องออกเดินทางเพื่อแสวงหาประสบการณ์แปลกใหม่ในหลายรูปแบบ เดินป่า ปีนเขา ท่องเที่ยวธรรมชาติ วัฒนธรรม และนำสิ่งเหล่านั้นกลับมาแบ่งปันผ่านผลงานภาพถ่ายให้กับเพื่อนๆที่มีหัวใจรักการเดินทางเช่นเดียวกัน เพจนี้ต้องการที่จะนำเสนอข้อมูลจากประสบการณ์การเดินทางด้วยตนของผม ที่ดำเนินการเองในทุกขั้นตอน เพราะต้องการเข้าถึงและสัมผัส อย่างลึกซึ้งและผมเชื่อว่าสีสันของการเดินทางไม่ได้เกิดขึ้น ณ ตรงจุดหมายปลายทางเท่านั้นแต่ยังรวมถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดในระหว่างการเดินทาง

 

 

นครวัด

นครธม


ปราสาทบันทายเสร่ย


เดินขึ้นเขากบาลเสปียน,ปราสาทตาพรหม,สระสรง,Local Night Market ที่เสียมเรียบ,ปราสาทบันทายฉมาร์

[peter]

สมาชิกที่ร่วมเดินทางทั้งหมด 7คน เช่ารถแท็กซี่ 2 คันไว้สำหรับเดินทางไปที่ต่างๆ ท่าคาราวะเทพที่ประดิษฐสถาน อยู่ในนครวัด เป็ท่าคำนับของชาวฮินดู ในที่นี้นครวัดสร้างเพื่อถวายพระวิษณุ (สังเกตตำแหน่งวางเท้าบนพื้นครับ)

[peter]

24ม.ค.2555 เดินทางออกจากกทม. เวลา 7:45น. ไปด่านโรงเกลือฝั่งไทยเรียกว่า "ด่านคลอกลึก" ถ้าเป็นด่านฝั่งกัมพูชา เรียกว่า "ด่านปอยเปต" แล้วต่อแท็กซี่จากด่านไปเสียบเรียระยะทาง 150 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. รถแท็กซี่ที่นี้ใช้แก๊สหุ้งต้ม เป็นเชื้อเพลิง การบรรจุแก๊สใช้เครื่องมือแบบบ้าน โดยใช้ปั้มลูกสูบอัดแก๊สจากในถังไปยังรถแท็กซี่(อันตรายมาก) ส่วนการคิดปริมาณแก๊สที่เติมเข้าไปก็ใช้ตาชั่ง ตวงดูว่าถังแก๊สน้ำหนักลดลงไปกี่กิโลกรัมครับ

[peter]

ขึ้นท่าเรือบารายตะวันตก เพื่อเดินทางไปปราสาทแม่บุญตะวันตก เสียค่าโดยสาร 5us/คน

[peter]

ปราสาทแม่บุญตะวันตก ตั้งอยู่ในบนเกาะกลางบารายตะวันตก บารายตะวันตกนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองเสียมเรียบประมาณ 9 กิโลเมตร ขนาดกว้าง 2,200 เมตร ยาว 8,000 เมตร ลึก 7 เมตร


ปราสาทแม่บุญตะวันตกสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ในพุทธศตวรรษที่ 16 ตามธรรมเนียมของกษัตริย์ขอมที่ต้องสร้างบารายเพื่อเสริมชลประธานให้แก่ราษฎร พร้อมกันนั้นพระองค์ให้สร้างปราสาทแม่บุญตะวันตกขึ้นมาเพื่อบูชาพระศิวะ ตามลัทธิไศวนิกาย เป็นศิลปะแบบบาปวน

[peter]

นิวมาร์เกตที่สร้างขึ้นมาใช้ชื่อว่า cultural art center เค้าทำเป็นไนท์มาร์เกต แต่ไม่ค่อยมีคนเดิน ข้าวของแพงได้ใจมากครับ


เดินทางเข้าพักที่เกสท์เฮ้าส์ในเมื่องเสียบเรียบ 12US/ห้อง/คืน(นอนได้2คน) เดินเที่ยว โอลมาร์เก็ท อังกอร์มาร์เก็ท รับประทานอาหารข้างทาง ข้าวกระเพาะเนื้อ+ไข่ 2 US น้ำผลไม้บัน 1US เพื่อนหลายคนลองใช้บริการนวดเท้า 60 นาที 3US(บนลานทางเท้า) แต่ผมใช้บริการนวดทั้งเท้าและตัว 60นาที 4US(ห้องแอร์ชั้น2) แต่ลองดูแล้วเมืองไทยจับเส้นดีกว่าครับ

[peter]

25ม.ค.2555 ตื้นนอน 5:00 น. เช่ารถตุ๊กๆ คนละ 5US ทั้งวัน เพื่อเดินทางไปยังปราสาทต่างในเสียบเรียบ โปรแกรมแรกเดินทางไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด แต่ต้องแวะไปซื้อตั๋ว3วัน ราคา 40us/คน สามารถเที่ยวประสาทต่างๆในเมื่องเสียบเรียบได้ครับ แต่ถ้าราคา 60us สามารถเที่ยวได้ 60วันครับ ในภาพจะนครวัดก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น

[peter]

ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด สร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2

[peter]

หลังจากนั้นพวกเรารีบเดินออกจากนครวัด เพื่อนั่งรถตุ๊กๆ ไปนครธม ระหว่างที่จะเดินออกจากนครวัดจะผ่านโคปุระตะวันตก น้องโอ๋ก็พาไปดูนางอัปสรานางหนึ่งที่ตามตำนาน เล่าว่านางอัปสราเกิดจากพิธีการกวนเกษียรสมุทร โดยทั่วไปแล้วนางอัปสราจะยิ้มไม่เห็นฟัน เมื่อก่อนเค้าเชื่อว่า นางอัปสราที่ยิ้มเห็นฟัน ณ โคปุระตะวันตกนั้น เป็นอัปสรานางเดียว และเป็นไฮไลท์ของนครวัดเลยทีเดียว แต่ จริง ๆ แล้วในนครวัดมีนางอัปสรายิ้มเห็นฟันอีกหลายตน


ก่อนขึ้นรถตุ๊กๆ ถ่ายรูปหมู่ก่อนเดินทางไปนครธม แล้วช่วงบ่ายค่อยมาเก็บภาพภายในนครวัด และ พระอาทิตย์ตกดินที่นี้อีกครั้งครับ

[peter]

ก่อนที่จะเข้านครธม ก็แวะจอดรูปถ่ายรูป ตรงสะพานนาคราช จากรูปเป็นภาพเทวดารูปหล่อ รูปแกะสลักลอยตัวนี้เป็นรูปของเทวดาตามเรื่องการกวนเกษียรสมุทรระหว่างยักษ์และเทวดา


เรือพระที่นั่ง เรือนี้ไม่ใช่เรือพระที่นั่งของกษัตริย์แต่อย่างใด แต่เป็นเรือที่จำลองมาจากเรือพระที่นั่งของกษัตริย์ในสมัยโบราณที่ปรากฏในภาพแกะสลักในนครธม จอดอยู่บริเวณประตูทิศใต้ของนครธม ทางด้านซ้ายมือของรูปแกะสลักลอยตัวเรื่องการกวนเกษียรสมุทร

[peter]

ประตูทิศใต้ของนครธม เป็นประตูเมืองที่มียอดเป็นรูปพระโพธิสัตว์หันพระพักตร์ไปทั้ง 4 ทิศที่วิจิตรพิศดาร บางรูปได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่เช่นตัวด้านหลังในภาพ แต่ด้านหน้านั้นเป็นของแท้ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ผู้สร้างนครธมเมื่อ พ.ศ. 1724 หรือปลายคริสตวรรษที่ 12


ปราสาทบายน – บายนแปลได้หลายความหมาย ความหมายหนึ่งแปลว่า ใบโพธิ์ ซึ่งจะมีความสอดคล้องกับภาพแกะสลักระเบียงชั้นนอก ปราสาทบายนเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อยู่ใจกลางนครธมเป๊ะ! ยอดพระปรางค์กลางสูง 72 เมตร มีพระปรางค์ทั้งหมด 54 ยอด พระปรางค์แต่ละยอดประกอบไปด้วยใบหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร คือพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วแต่ยังไม่ได้ไปนิพพาน อยู่เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งชาวขอมมีความเชื่อว่าพระเจ้าวรมันที่ 7 นั้นทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเทพเจ้าตามความเชื่อของลัทธิเทวราชา ถึงแม้ว่าจะสิ้นสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แล้ว ปราสาทแห่งนี้ยังคงเป็นศาสนสถานในรัชกาลต่อมาด้วย เนื่องจากการบูรณะปราสาทนี้นั้นง่ายกว่าการที่จะสร้างเทวสถานแห่งใหม่ขึ้นมา


ปราสาทบายน : ศูนย์กลางของอังกอร์ธมหรือนครธม ยอดปราสาทขนาดยักษ์ทุกหลังจะแกะสลักเป็นรูปเทวพักตร์ 4 หน้า ผนังด้านล่างของตัวปราสาทจะปรากฏภาพสลักฝาผนัง ซึ่งเป็นภาพแสดงชีวิตประจำวันของชาวเขมร และภาพการสงครามระหว่างขอม (เขมรโบราณ) กับพวกจาม (เวียดนามโบราณ) ซึ่งเปรียบเสมือนการบันทึกประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรของเขมรไว้

[peter]

อัปสรา ณ ปราสาทบายอน – ศิลปะแบบบายอนมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งตรงที่รอยยิ้มไม่เห็นฟัน ซึ่งจะสามารถเห็นได้จากนางอัปสราหรือรูปสลักต่างๆ ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่ปรากฏตามปราสาทต่างๆ เช่น ปราสาทบายอน ในภาพเป็นนางอัปสราที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ 2 องค์ คือยิ้มสวยและมีความสมบูรณ์กว่าอัปสราองค์อื่นๆ

[peter]

ปราสาทบาปวน – เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 อยู่ในเมืองยโสธรปุระ หรือบริเวณที่ตั้งนครธมในปัจจุบัน กล่าวคือปราสาทนี้มีความเก่าแก่กว่านครธม มีลักษณะแบบปิระมิด ถือว่าเป็นต้นแบบของศิลปะแบบบาปวน

[peter]

ปีนขึ้นบันไดไปยังยอดปราสามบาปวน


ปราสาทบาปวนถ่ายจากด้านบนปราสาท จะเห็นบารายทั้งสองด้านขนาบข้างกับทางเดินยาว


ปราสาทแห่งนี้ยอดสูงสุดเคยประดิษฐสถานศิวลึงก์ทองคำแต่ได้หายไปแล้วในคราวที่สร้างเมืองใหม่ ปราสาทแห่งนี้มีลักษณะพิเศษคือมีระเบียงคดถึง 3 ชั้น บริเวณทางเข้านั้นแต่เดิมพื้นต่ำ แต่พระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดมาสร้างเป็นสะพานสูงทีหลัง ด้านหลังของปราสาทนี้ถูกรื้อแล้วสร้างเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสนตในช่วงที่ศาสนาพุทธเข้ามาแทนที่ศาสนาพราหมณ์

[peter]

ปราสาทพิมาณอากาศ สร้างด้วยศิลาแลงซ้อนกัน 3 ชั้นแบบปิรามิด ชั้นบนสุดเป็นหินทรายเชื่อว่าเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าประจำวัน



บริเวณชั้นสองของปราสาทพิมาณอากาศ สังเกตุทางขึ้นจะชั่นมากและเหยียบไม่เต็มเท้าด้วยครับ



จุดสูงสุดปราสาทพิมาณอากาศ กล่าวกันว่าทุกคืนก่อนพระเจ้าแผ่นดินจะทรงบรรทมจะต้องมาสวดมนต์บูชาเทพเจ้าทุกคืน เคยเชื่อว่ามีพระแท่นอยู่บนนี้ ตอนนี้พระแท่นไม่อยู่แล้ว

[peter]

ชมสระน้ำ ซึ่งอยู่ทางเหนือของพระราชวัง เป็นที่ซึ่งเจ้านายในราชสำนักใช้เป็นที่อาบน้ำแบ่งออกเป็น 2 สระ สำหรับสระผู้ชายสระหนึ่งและสระผู้หญิงสระหนึ่ง ก่อนออกจากบริเวณพระราชวังหลวง เราจะเดินผ่าน

[peter]

บริเวณลานพระเจ้าขี้เลื้อน จะปรากฏรูปแกะสลักลอยตัวซึ่งเชื่อว่าเป็นรูปของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในสมัยนั้นมีโรคขี้เลื้อนระบาด และพระองค์ก็ติดโรคนี้มา เขาจึงสร้างรูปนี้ให้มีลักษณะเหมือนคนเป็นโรคเรื้อน เนื้อตัวด่างดำ มือกุดอย่างที่เห็น แต่บางคนก็ชื่อว่าเป็นรูปสลักลอยตัวธรรมดา แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะถูกแสงแดด ฝน ผุกร่อนไปตามกาลเวลานั่นเอง


ด้านหน้าและด้านหลังกับผนังทั้ง 2 ด้าน แต่งด้วยหินทรายและลายปูนปั้นเป็นเทพอัปสรและอสูรเป็นชั้นๆ เป็นภาพที่งดงามมาก



นางอัปสราเต็มไปหมดเลย – อยู่ในบริเวณช่องด้านในฐานของด้านล่างลานพระเจ้าขี้เรื้อน ซึ่งรูปสลักนูนต่ำนี้ยังมีความสมบูรณ์อยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าหลายรูปจะมีการบูรณะไปบ้างแล้วก็ตาม


ตรงมุมบ้างก็แกะเป็นรูปพญานาค บ้างก็แกะเป็นพญาครุฑ



ลานช้าง ในภาพคือช้างเอราวัณ พาหนะของพระอินทร์และเป็นสัญลักษณ์ของนครธมด้วย ลานช้างเป็นสถานที่ว่าราชการของกษัตริย์ ด้านหน้าจะเป็นลานกว้างในประกอบพิธีสำคัญต่างๆ คล้ายๆ กับสนามหลวงบ้านเราประมาณนั้น ยังมีอีกหลายที่ ที่พวกเราไม่ได้ไป เพราะเราต้องรีบไปนครวัดต่อครับ เนื่องจากช่วงบ่ายดวงอาทิตย์จะส่องแสงมาด้านหน้านครวัด

[peter]

นครวัดเป็นศาสนสถานสร้างขึ้นถวายพระวิษณุ ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2


บรรณาลัยหรือห้องสมุด มีสองฝั่ง ในภาพเป็นฝั่งซ้าย

[peter]

ภาพที่ 1 : กองทัพลิงรบกับกองทัพยักษ์ในภาพแกะสลักสงครามกรุงลงกา ในภาพลิงคือฝ่ายชนะ ช่างแกะสลักพยายามจะสะท้อนให้เห็นว่าลิงเก่งที่รบและทำลายกองทัพฝ่ายยักษ์ได้ด้วยการที่แกะให้ลิงนั้นกัดหัว กัดแขนขา รัดคอ ฯลฯ ฝ่ายยักษ์
ภาพที่ 2 : ภาพยักษ์บาดเจ็บโดยมีลิงเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ในยามศึกสงครามนั้นย่อมมีผู้บาดเจ็บ แต่ไม่ว่าฝ่ายไหนจะบาดเจ็บอีกฝ่ายก็มีน้ำใจที่จะช่วยเหลือ เย็นในภาพยักษ์บาดเจ็บ ลิงก็มีน้ำใจแบกยักษ์ไปปฐมพยาบาล
ภาพที่ 3 : ภาพเมียของยักษ์กำลังเสียใจที่สามีตนนั้นเสียชีวิตในสงคราม
ภาพที่ 4 : ภาพนายกองของยักษ์กำลังต่อสู้กับลิงอยู่บนรถศึก โดยรอบๆ ลิงกับยักษ์กำลังต่อสู้กันอย่างชลมุนวุ่นวาย


ภาพแกะสลักภาพนี้เป็นภาพสำคัญในเหตุการณ์สงครามกรุงลงกา ในภาพพระรามกำลังแผงศรเผื่อฆ่าทศกัณฐ์เหยียบบนบ่าหนุมานที่มือข้างขวาถือหัวใจของทศกัณฐ์ โดยมีพระลักษณ์ พระสัตรุตอยู่ด้านหลังหนุมาน ถัดไปทางซ้ายมือจะเห็นภิเภก (ในรูปเก็บมาไม่หมด)


ภาพแกะสลักสุครีพและองคต – สุครีพเป็นลิงที่มีฤทธิ์เดชมาก พอมาถึงก็สามารถจับสิงโตสองตัวทุ่มใส่กันได้ โดยมีองคตเข้ามาร่วมรบในครั้งนี้ด้วย ในภาพองคตเหยียบบนหัวสิงโต พร้อมกันกับจับยักษ์อยู่ด้านบน

[peter]

ภาพแกะสลักทศกัณฐ์ในภาพสงครามกรุงลงกา


ภาพทศกัณฐ์แบกเขาไกลาส


ภาพแกะสลักรูปพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด