52 replies to this topic

[MrBew]

Advertisements

สวัสดีครับ สมาชิกชาว HFLIGHT ทุกๆท่านครับ  Mr.Bew Za มารายงานตัวอีกแล้วครับ

 

วันนี้ผมจะพาทุกๆท่าน ไปเที่ยว ญี่ปุ่น [AUTUMN IN JAPAN] ฤดูแห่งใบไม้เปลี่ยนสี - โตเกียว เกียวโต โอซาก้า ครับ

ฤดูใบไม้ร่วง ในญี่ปุ่นจะเริ่มในราวเดือนกันยายนจนถึงเดือนพฤศจิกายนหรือต้นธันวาคมของทุกๆปีและเป็นช่วงที่มีอากาศดี เพราะหลังจากฤดูร้อนผ่านพ้นไป ลมเย็นเอื่อย ๆ เข้ามาแทนที่ เหมาะแก่การมาเดินชิลล์ๆ มากครับ ไม่หนาวจัดและไม่ร้อนด้วยจึงทำให้เรา สามารถเดินได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยครับ(แต่ปวดขามากๆๆ ฮ่าๆ)

    ผมเชื่อว่า ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศแรกๆที่นักท่องเที่ยวหลายๆคน อยากไปเที่ยวสักครั้งในชีวิต (รวมทั้งผมด้วย) อยากเห็นภูเขาไฟฟูจิ ตัวเป็นๆ อยากไปท่องเที่ยวตามเมืองต่างๆของประเทศนี้ เมืองแต่ละเมืองของญี่ปุ่นนั้นล้วนแล้วแต่สวยงามทุกๆที่และมีเอกลักษณ์ของตัวมันเอง และเมื่อช่วงกลางปี 2013 ได้มีประกาศออกมาว่า ประเทศญี่ปุ่นได้ยกเลิกการขอวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวไทย นั่นคือจุดประกายที่ทำให้ผมตัดสินใจเลือกที่จะเดินทางไปประเทศนี้

    สำหรับโปรแกรมของผมนั้น ผมเลือกเจาะจงไปช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่เหล่าพฤกษานานาพันธุ์ เริ่มผลัดสีจากสีเขียว-เหลือง-ส้ม-แดง แล้วร่วง แล้วก็พากันร่วงหล่นลงดินกลายเป็นสีนํ้าตาล
ทริปนี้เป็นทริปที่ยาวนานที่สุดของการเดินทางท่องเที่ยวของผมแล้วครับ นั่นก็คือ 9 วัน 8 คืน ครับ
เมืองที่ผมไปทริปนี้ ได้แก่ TOKYO, KAWAGUCHIKO, KYOTO, OSAKA และในวันสุดท้ายที่เดินทางกลับ ซึ่งผมต้องไปต่อเครื่องที่สนามบินฮ่องกงนั้น ผมได้เลือกเที่ยวบินที่มีเวลาต่อเครื่องนานถึง 8 ชม เพื่อที่จะได้มีเวลาไปเดินเล่นที่ฮ่องกง แถวๆ TSIM SHA TSUI ก่อนกลับไทยครับ

 

     ซึ่งจากที่หาข้อมูลมานั้นช่วงที่โตเกียว เกียวโต และ โอซาก้า จะเห็นได้ว่าช่วงที่น่าไปเที่ยวและช่วงพีคๆของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี หรือใบไม้แดงนั้น คือช่วงเดือน พฤศจิกายน ของทุกๆปี ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเดินทางในช่วง วันที่ 15-23 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมาครับ

ซึ่งตอนนี้ผมจะพาทุกๆไป ท่องโตเกียว เที่ยวคาวาฯ ตามล่า ฟูจิซัง กันครับ และ เนื่องจากทริปนี้เป็นการเดินทางไปหลายวันทำให้มีรูปเยอะมากถึงมากที่สุด แต่ก็ไม่อยากแยกย่อยหลายๆตอน กระผมจึงของแบ่งออกเป็น 2 ตอนเลยแล้วกันนะครับ

 

อุปกรณ์ถ่ายภาพและการโพรเซส:
กล้อง: CANON EOS 60D, CANON EOS 550D.
เลนส์: CANON EF-S 17-85MM, TAMRON 10-24MM, SIGMA 70-300MM.

โพรเซสรูป:

ถ่ายรูปออกมาเป็น JPEG ไฟล์ แล้วแต่งด้วยโปรแกรม ADOBE LIGHTROOM, ย่อรูป(USM): ด้วยโปรแกรม PHOTOSHOP นะครับ

 

ปล.1 รีวิวนี้ผมเคยลงไว้ใน Pantip ด้วยนะครับ เพราะฉะนั้น ไฟล์รูปผมจึงดึงมาใช้จากรีวิวนั้นนะครับ หากมีปัญหาในการรับชม แจ้งได้เลยนะครับ

ปล.2 รีวิวนี้ ข้อมูลไม่แน่น ไม่เน้นกิน ไม่เน้นช็อป เน้นไปเที่ยวถ่ายรูป เท่านี้พอแล้ว สำหรับ Mr.Bew Za  นะครับ

 พร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ ^^

[MrBew]

ก่อนเดินทาง
ตั๋วเครื่องบิน ผมใช้บริการของสายการบิน CATHAY PACIFIC ครับ กรุงเทพ-นาริตะ ตกคนละ 15,XXX บาท เลือกบินแบบต่อเครื่องนะครับ เพราะถ้าบินตรงก็เกือบๆ คนละสองหมื่นกว่าๆแหนะ ได้ค่าขนมได้ตั้งเยอะ ^^

JR  PASS 7 DAYS ผมหาได้ถูกสุด ณ.เวลานั้น ได้ราคา 8900 บาท ส่วนอีก 2 วันที่เหลือผมซื้อ KEISEI SKYLINER(ONE WAY)&METRO PASS (2 DAYS) ในราคา 2980 เยน ที่สนามบินนาริตะ ครับ

ค่าที่พัก ทริปนี้ผมเลือกพัก HOSTEL ในเครือ KHAOSAN ตั้ง 3 สาขาครับ
- KHAOSAN TOKYO KABUKI (MIX DORM 4 เตียง + ห้องน้ำในตัว)
- KHAOSAN TOKYO LABORATORY (MIX DORM 4 เตียง + ห้องน้ำในตัว)
- KHAOSAN KYOTO GUEST HOUSE (PRIVATE DOUBLE ROOM + ห้องรวม)
และ KAWAGUCHIKO STATION INN ห้องพักแบบเรียวกังและมีออนเซ็นด้วย จุดเด่นคืออยู่ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ KAWAGUCHIKO เลยครับ สะดวกดีครับ
ค่าอาหาร ผมคำนวนไว้มื้อละไม่เกิน 1000 เยน ก็ตกวัน 3000 เยน หรือประมาณวันละ 1000 บาทครับ แต่ส่วนมากแล้วมื้อเช้าแทบไม่ได้ทานอะไรเลย ทานแค่ข้าวปั้นแล้วก็นม/กาแฟ ตามร้านสะดวกซื้อ เท่านั้นครับ ก็ประหยัดไปได้อีกครับ

เริ่มต้นการเดินทาง  (NOV 16, 2013)
เริ่มต้นที่สนาม SUVARNABHUMI INTERNATIONAL AIRPORT (BKK) ครับ เค้าเตอร์ CHECK-IN อยู่ที่ ROW M (CATHAY PACIFIC) ครับ
คนโล่งมากๆ ^^

 

หลังจากเช็คอิน – ผ่านกระบวนการ ตรวจคนเข้าเมืองเสร็จ ก็รีบไปหาอะไรทานที่ KINK POWER LOUNGE ฝั่ง PREMIUM LOUNGE ครับ (SCB GOLD - KP) ซึ่งช่วงที่ผมไปคนแน่นมาก ที่นั่งไม่พอกันเลยทีเดียว แล้วหลังจากนั้นก็ได้เวลาไปขึ้นเครื่องแล้วครับ

 

เดินทางออกจากสุวรรณภูมิเวลาประมาณ 1.25 น.  ไปแวะต่อเครื่องที่ฮ่องกงครับ

 

 

[MrBew]

ARRIVED AT HONGKONG INTERNATIONAL AIRPORT (HKG) 
มาถึงสนามบินฮ่องกงช่วงเช้ามืดครับ จากนั้นก็นั่งรอพักผ่อนครับ และที่สนามบินมีที่ช่องเสียบ USB และปลั๊กไฟให้ด้วยครับ
พระอาทิตย์ขึ้นสวยงามไปอีกแบบ

[MrBew]

TAKE OFF  !!! LET'S GO TO JAPAN  ^^   
หลังจากนั้นก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกันแล้วครับ  วิวเกาะฮ่องกงและมื้อเช้าของเราครับ

[MrBew]

หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็ดูหนัง นั่งๆ หลับๆ ไปสักพักก็เริ่มจะทำการ LANDING ที่สนามบินนาริตะ แล้วครับ
*** จริงๆ ผมตั้งใจเลือกที่นั่ง ฝั่งซ้ายไว้ครับ เผื่ออากาศดีๆ จะได้เห็น คุณฟูจิ มุมสูงสักหน่อยแต่ดูสภาพตอนนี้แล้ว รอวันกลับดีกว่า =="

[MrBew]

ARRIVED AT NARITA INTERNATIONAL AIRPORT (NRT) > CUSTOMS & IMMIGRATION -> BAGGAGE
เดินทางจากสุวรรณภูมิตอนประมาณ 1.25 น. ถึงนาริตะประมาณบ่าย2 กว่าๆ (เวลาบวกไปอีก 2 ชั่วโมง) ครับ

เกี่ยวกับ ตม.
เนื่องจากทริปนี้ผมมีผู้ติดตามไปด้วยครับ แถม PASSPORT ก็ขาวสะอาดมาก เพราะพึ่งทำมาใหม่ๆสดๆร้อนๆเลยครับ พวกเราจึงได้มีการเตรียมเอกสารสารต่างๆ ไว้เผื่อสำหรับยื่นให้ ตม. เวลาเค้าต้องการครับ จากนั้นผมก็ให้ ผู้ติดตามยืนข้างหน้าผม เพราะไม่เคยเที่ยวต่างประเทศเลย มาญี่ปุ่นเป็นที่แรกเลยครับ เผื่อมีปัญหาอะไร จะได้ช่วยได้ครับ
เอกสารที่ผมเตรียมไว้มีดังนี้ครับ
- ตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ
- ใบจองที่พัก
- ใบรับรองการทำงาน
- JR PASS
- ประกันภัยการเดินทาง
- แผนการเดินทาง (ช่วยได้เยอะมากๆครับ)

คำถามจาก ตม.
จนท ตม. : คุณมากับใคร?
ผู้ติดตาม : มาย บอยเฟรนด์ (แล้วชี้มือ มาทางผม ^^)

จนท ตม. : มีตั๋วเครื่องบินกลับมั้ย?
ผู้ติดตาม : ยื่นเอกสารทั้งหมดที่เตรียมไว้ โดยแนบแผนการเดินทาง ไว้หน้าแรกสุด.
จนท ตม. : มองๆ อ่านๆ พร้อมกับพยักหน้า..... แล้วก็พูดว่า THANK YOU  ผ่านแล้ว เย้ๆๆ
เมื่อถึงคิวผม : ยิ้มสยามหนึ่งที  ผ่านฉลุย ไม่ถามสักคำ

 

[MrBew]

หลังจากนั้นก็ไปรับกระเป๋าแล้วซื้อตั๋วรถไฟสาย KEISEI LINE เข้าตัวเมือง ไปลงสถานี UENO เลยครับ
ผมซื้อตั๋วแบบ COMBO SKYLINER ONE WAY + METRO PASS 2 DAY ในราคา 2980 เยน ใช้เวลา ประมาณ 41 นาทีโดยประมาณครับ

[MrBew]

เมื่อมาถึง UENO STATION  ก็เดินออกจากสถานีรถไฟของ KEISEI ข้ามไปนั่ง TOKYO METRO (UENO STATION) เพื่อนั่งรถไฟใต้ดิน สาย GINZA LINE จาก UENO ไปลงที่ ASAKUSA ครับ

[MrBew]

“CHECK IN @ KHOASAN TOKYO KABUKI“    ไปถึงที่พักประมาณ 5 โมงเย็นครับ
มาถึงก็เย็นแล้ว จึงรีบทำการเก็บของ แล้วไปถ่ายรูปให้ทันแสง TWILIGHT ที่ วัด SENSOJI ครับ ซึ่งวัดนี้เป็นไฮไลท์ของย่านนี้ครับ โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่มากๆ.
TWILIGHT TIME AT SENSOJI TEMPLE

[MrBew]

นอกจากนี้ ถนนขายของหน้าวัด ASAKUSA  [NAKAMISE ST.] ก็มีของให้ช็อปเยอะมากครับ


จากนั้นไปเดินเล่นริมแม่น้ำซูมิดะครับ เห็น TOKYO SKY TREE  และ ฟองเบียร์สีทอง บนยอดตึก ASAHI ด้วยครับ

[MrBew]

จากนั้นนั่ง METRO ไปชมบรรยากาศ ยามค่ำคืน(วันศุกร์)  ชิบูย่า ต่อครับ
SHIBUYA (渋谷)  5 แยกบันลือโลก (SHIBUYA CROSSWALK)

ผู้คนมหาศาล

 

เจ้าหมาผู้ซื่อสัตย์  HACHIKO

 

[MrBew]

หลังจากนั้นก็เดินทางกลับมาที่ ASAKUSA แถวๆหน้าวัด SENSOJI เพื่อหาอะไรทาน แล้วจึงกลับที่พักครับ




ที่พักครับ KHAOSAN TOKYO KABUKI (MIXED DORM 4 เตียง + ห้องน้ำในตัว)
สะอาดและเงียบสงบ ดีครับ

[MrBew]

เช้าวันที่สอง (NOV 16, 2013)  : ASAKUSA - UENO - IMPERIAL PALACE - HARAJUKU – ROPPONGI)
ตื่นเช้ามาไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมแห่ง ASAKUSA ที่วัด SENSOJI - ไปเช้าๆ คนน้อยครับ

[MrBew]

แล้วไปเที่ยวต่อที่ พระราชวังอิมพีเรียล (IMPERIAL PALACE) และ สะพานนิจุบาชิ (สะพานแว่นตา) ครับ
นั่ง TOKYO METRO จาก ASAKUSA ไปลงสถานี NIJUBASHIMAE แล้วเดินต่ออีก 5 นาที ครับ

พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace) เป็นที่ประทับของ พระจักรพรรดิญี่ปุ่นตลอดจนราชวงศ์อิมพีเรียล พระราชวังองค์ปัจจุบันนั้นตั้งอยู่บนที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทเอโดะมา ก่อนซึ่งในสมัยนั้นครองโดยโชกุนโตกุกาวะ (Tokugawa Shogunate) ผู้ที่ปกครองญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ.1603-1867 จนภายหลังนั้นระบบโชกุนได้ถูกล้มล้างอำนาจจนล่มสลายลงเพื่อเปลี่ยนระบบการ ปกครองใหม่ ราชวงศ์อิมพีเรียลจึงได้ย้ายจากเกียวโตมาประทับที่โตเกียวแทนในปี ค.ศ.1868 โดยได้สร้างพระราชวังใหม่ขึ้นบนพื้นที่นี้และแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1888 (Cr. http://roojingjapan.com)

บรรยากาศร่มรื่นมากๆ มีต้นไม้ใหญ่ และลานกว้างๆ  ให้ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น วิ่งออกกำลังและนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจ ครับ




เงาที่สะท้อนกับพื้นน้ำของสะพานนิจุบาชินั้น ดูดีๆ จะเหมือนกับเป็นแว่นตา ครับ

[MrBew]

ไปต่อกันที่ HARAJUKU (原宿) เลยครับ
เริ่มต้นด้วยการไป ศาลเจ้า MEIJI (明治神宮) (METRO CHIYODA LINE : MEIJIJINGUMAE STATION)

ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu / Meiji Shrine) นั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์อุทิศถวายแด่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ (Emperor Meiji) และพระจักรพรรดินีโซเค (Empress Shoken) ภายหลังจากที่ทั้งสองพระองค์นั้นสวรรคต ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1920 โดยการร่วมมือของประชาชนทั่วญี่ปุ่นที่ช่วยกันบริจาคต้นไม้กว่า 100,000 ต้น เพื่อสร้างป่าแห่งนี้ขึ้น ศาลเจ้าเมจินั้นเป็นศาสนสถานในศาสนาชินโตอันเป็นศาสนาเก่าแก่และดั้งเดิมของ ญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นศาลเจ้าแห่งนี้ถูกทำลายอย่างหนัก ศาลเจ้าปัจจุบันนั้นได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ราวปี ค.ศ.1958 ด้วยงบประมาณที่เกิดจากการระดมทุนสาธารณะอีกครั้งนั่นเอง (Cr. http://roojingjapan.com)

[MrBew]

ซึ่งวันที่ผมไปช่วงนั้นเป็นช่วงที่เด็กหญิงเด็กชายใส่ชุดกิโมโนตามพิธีฉลองครบวัยเด็ก ซึ่งมากันเป็นครอบครัว

[MrBew]

อย่าลืม ก่อนเข้าศาสนสถาน ก็จะต้องล้างมือบ้วนปากเพื่อชำระร่างกายภายในภายนอกให้บริสุทธิ์ก่อนเสมอครับ

[MrBew]

รู้สึกว่าโชคดีจริงๆ ครับ วันนี้ ได้เจอพิธีแต่งงานแบบชินโต  ถึง 2 งานเลยทีเดียว [:heart:]

พิธีแต่งงานแบบชินโต เป็น พิธีแต่งงานแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น นั้น คือการแต่งงานแบบนิกายชินโต ที่คู่บ่าวสาวจะต้องสวมชุดแต่งงานแบบดั้งเดิมของศาลเจ้าชินโต ซึ่งเจ้าสาวมักจะสวมเป็นชุดกิโมโนสีขาว เกล้าผมขึ้น สวมหมวกหรือผ้าคลุมผม สวมรองเท้าเกี๊ยะ และต้องมีการซ้อมพิธีอยู่หลายครั้ง โดยเน้นการจัดงานแบบใหญ่โตและใช้งบประมาณสูง เพื่อให้เป็นเกียรติแก่คู่บ่าวสาวและครอบครัว

 

 

 

 

[MrBew]

นอกจากนี้กิจกรรมที่เป็นที่นิยมทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวก็คือการขอพรบนแผ่นไม้ที่เรียกว่า อิมะ (Ema) ซึ่งจะเป็นแผ่นไม้เล็กๆ ให้เราเขียนขอพรต่างๆ ลงไปในนั้น อธิษฐานเสร็จแล้วก็ให้นำไปแขวนไว้โดยรอบต้นไม้ใหญ่ที่จัดไว้ให้นั่นเอง ซึ่งเราจะเห็นได้ตั้งแต่ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาอังกฤษ, ภาษาเกาหลี, หรือว่าแม้แต่ภาษาไทย


ระหว่างเดินทางออกจากศาลเจ้าครับ บรรยากาศร่มรืนมากๆ

[MrBew]

จากนั้นไปเดินเล่นที่ Harajuku ถนน ทาเคชิตะ แหล่งรวมวัยรุ่นครับ




คนเยอะแยะเลย