จริงๆ 340 ต้องแบ่งเป็น 2 คลาสย่อยอะครับ คือ 340-200/300 กับ 340-500/600 เพราะมีความต่างในหลายๆส่วน ทั้งความยาว เครื่องยนต์ และโจทย์ที่ตอบสนอง
และที่สำคัญ 340 เกิดมาด้วยความไม่ตั้งใจนัก ประกอบกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แต่ก่อนเครื่องบิน 2 เครื่องยนต์ติดข้อจำกัดเรื่อง ETOPS เลยทำให้เกิดเครื่องบินแบบ 4 เครื่องยนต์ชั้นเดียว (ไม่นับรวม 747 กับ 380 เพราะเหตุผลต่างกัน) แต่หลังจากนั้นไม่นานเทคโนโลยีดีขึ้นทำให้ข้อจำกัดของ ETOPS ลดน้อยลงจนไม่เป็นปัญหา เครื่องบินสองเครื่องยนต์ระยะไกลอย่าง 777 เลยประสบความสำเร็จมากกว่า ทั้งขนาดบรรทุก และจำนวนเครื่องยนต์ที่น้อยกว่าครึ่งๆ ทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆของสายการบินลดลง
340-200/300 ประสบความสำเร็จเพราะขนาดไม่ใหญ่มากและตอบโจทย์เรื่องระยะบินที่ไกล เลยมียอดขายกว่าสองร้อยลำ แต่ด้วยขนาดของตลาดไม่ใหญ่มาก เลยไม่โตไปกว่านี้ ปัจจุบันปิดสายการผลิตแล้ว รวมถึง 330 ยุคใหม่ที่เพิ่มเทคโนโลนีเข้ามา และมีความคุ้มค่ามากกว่า (ประหยัดกว่า) เลยตอบโจทย์ได้ดีกว่า
ส่วน 340-500/600 โดยส่วนตัวมองว่าไม่ประสบความสำเร็จ และเป็นจุดเสียของแอร์บัสเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างที่รู้ 340 คือการนำ 330 มาติดเครื่องยนต์เพิ่ม(ในตอนแรกคือ 340-200/300 และต่อมาขยายความยาวจนเป็น 340-500/600) ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ได้ถูกออกแบบมาโดยตรง ทำให้ข้อจำกัดต่างๆกลายเป็นข้อเสีย เช่น ระวางบรรทุกที่น้อย การบริโภคน้ำมัน และอื่นๆ เลยทำให้สายการบินสั่งไปใช้น้อยมาก รวมแล้วแค่ร้อยกว่าลำเอง (หนึ่งในนั้นคือการบินไทย

)
แต่ก็เข้าใจว่าตอนนั้นมีเพียง 340-500/600 ที่ตอบโจทย์ เนื่องจาก 777-300ER/200LR พึ่งมาตอนหลัง (ปี 2004 และ 2006 ตามลำดับ) แต่การบินไทยสั่งและนำเข้าฝูงตั้งแต่ปี 2005 เลยเป็นช่องว่างพอดี ซึ่งหลังจากมี 777-300ER/200LR ตลาดของ 340-500/600 ยิ่งลดลง จนเป็นอย่างในปัจจุบัน
ส่วน 777-300ER/200LR ก็ขายดีจนผลิตแทบไม่ทัน มียอดสั่งซื้อรวมกว่าหกร้อยลำ
ปล. แต่ถ้ามองการวางแผนระยะยาวของการบินไทยแล้ว ก็ต้องบอกว่าวางแผนผิดจริงๆ เพราะถึงแม้ 777-300ER/200LR มาตอน ปี 2004 และ 2006 ตามลำดับ แต่จริงๆแล้วในปี 2000 ก็มีบางสายการบินสั่งซื้อไปแล้ว แต่ก็อย่างว่าซื้อมาแล้วทำไงได้ ก็ต้องจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามที่ควรเป็น (ถ้าจำไม่ผิด 346 ของการบินไทย ก็มีแผนปลดประจำการในอีกไม่นานนี้เช่นกัน)