69 replies to this topic

[ทีมข่าวHFLIGHT]

Advertisements

สวัสดีครับ

ภาคนี้เป็นตอนที่ 2 ของทริปที่ทีมงานHFLIGHT มีโอกาสเดินทางไปเยือนประเทศเบลเยียม โดยในภาคแรกนั้นเป็นการเดินทางด้วยชั้นธุรกิจ Royal Silk บนเครื่องบินของการบินไทยจากกรุงเทพฯ ไปยังนครซูริค ของสวิตเซอร์แลนด์

สามารถย้อนกลับไปชมภาคที่แล้ว HF พาบิน Royal Silk การบินไทยสู่ Zurich TG970 กับ A340-600 : ข้ามทวีปมุ่งสู่ยุโรป จากเมืองไทยไปสวิตเซอร์แลนด์ก่อนต่อไปเบลเยียม http://www.hflight.n...s/topic/7056-hf

หรือจะไปชมรีวิวเที่ยวบินนี้ในรูปแบบวิดีโอที่ย่อเวลา 12 ชั่วโมงให้เหลือแค่ 6 นาทีกว่า ๆ ได้ที่นี่ครับ
คลิกhttp://www.youtube.com/watch?v=-0Wrt9upsLU

http://www.youtube.com/watch?v=-0Wrt9upsLU



สำหรับในภาคที่ 2 นี้เราจะขอพาทุกท่านไปสำรวจเมืองบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม และชาวบรัสเซลส์ยังอ้างด้วยว่าที่นี่คือเมืองหลวงของยุโรป ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น บรัสเซลส์ยังมีอะไรดี ๆ อีกมากมาย เราจะพาท่านไปพบกับผู้ชายที่มีสเน่ห์มากที่สุดในบรัสเซลส์ ที่คนจากทั่วโลกหากใครได้มาเยือนเมืองนี้ต้องมาพบเขา พาไปดูว่าความสุนทรีย์ของชาวบรัสเซลส์ไประบายออกอยู่บนกำแพงบ้านเรือนได้อย่างไร นอกจากนั้นหลายคนยังกล่าวว่าเมืองนี้อาจจะไม่มีอะไรมาก แค่มีจตุรัสที่สวยที่สุดในโลกเท่านั้นเอง และสุดท้ายไม่พ้นเรื่องของกินอันเลื่องชื่อของเมืองนี้ ไม่ว่าจะคาวหวานมาเต็มแน่นอน

ไปกันเลยครับ

Attached Images

• 
• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

จากความเดิมตอนที่แล้วการเดินทางเราหยุดลงชั่วคราวที่สนามบินซูริค โดยเราเพิ่งลงเครื่องของการบินไทย TG970 จากกรุงเทพฯ และเตรียมจะต่อเที่ยวบินภายในยุโรปไปยังบรัสเซลส์ การเดินทางเที่ยวนี้เราต้องเดินทางต่อด้วยสายการบิน Swiss ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตร Star Alliance กับการบินไทย เลยเช็คทรู (Through Check-in) มาจากกรุงเทพฯได้สบาย ๆ ไม่ต้องวุ่นวายตอนเปลี่ยนเครื่อง ใช้เวลารอต่อไฟลท์เกือบ 2 ชั่วโมง และต้องบินต่อไปอีก 1 ชั่วโมง 20 นาที รวมการเดินทางก็ปาเข้าไป 15 ชั่วโมงกว่าจะถึงบรัสเซลส์ แต่หลังจาก 17 พฤศจิกายนปีนี้เป็นต้นไป การบินไทยจะเปิดบินตรงกรุงเทพฯ - บรัสเซลส์ แล้ว ก็ลดเวลาเหลือบินตรง 12 ชั่วโมง 30 นาทีสบาย ๆ

ระหว่างรอต่อเที่ยวบิน ด้วยโชคดีที่เรายังถือรายการสะสมไมล์ ROP (Royal Orchid Plus) สถานะบัตรทอง ซึ่งเที่ยบเท่าสถานะ Star Alliance Gold ด้วย เมื่อบินต่อในเที่ยวบิน Star Alliance จึงสามารถไปนั่งรอสบาย ๆ ใน Lounge ซึ่งวันนี้ได้ใช้ Swiss Senator Lounge ที่ซูริค

Attached Images

• 
• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

จากนั้นก็ได้เวลา บอกลา Flughafen Zurich หรือสนามบินซูริค แล้วขึ้น Avro RJ100 ของสวิส เที่ยวบิน LX778 มุ่งหน้าสู่บรัสเซลส์

สวิตเซอร์แลนด์ และเบลเยียม ต่างก็เป็นประเทศในกลุ่มรัฐเชงเก้น (เช่นเดียวกับอีกกว่า 24 ประเทศ เกือบทั่วยุโรป) ดังนั้นการเดินทางระหว่างสองประเทศนี้จะไม่ต้องผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เมื่อเราลงเครื่องจากกรุงเทพฯ ก่อนจะข้ามเข้าไปยังอาคารสำหรับต่อเครื่องภายในเชงเก้น ก็จะมีการผ่าน ตม. เข้าประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วที่ซูริคนั่นเอง จากนั้นเมื่อเราจะเดินทางไปยังประเทศไหน ๆ ถ้ายังไม่ออกจากกลุ่มประเทศเชงเก้น ก็ไม่ต้องผ่าน ตม. อีกแล้ว (ก็อาจจะเรียกได้ว่าขอวีซ่าครั้งเดียว ไปเที่ยวได้ 26 ประเทศในยุโรปทีเดียว)

Attached Images

• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ทิวทัศน์ของทวีปยุโรป มองจากบนฟ้า

ก่อนลงที่บรัสเซลส์ จากหน้าต่างเครื่องบินเราจะเห็นบ้านเรือนเป็นหย่อม ๆ น่ารัก สลับกับพื้นที่เกษตรกรรมสีสันสดใส ทำให้ชักอยากจะรู้แล้วว่าประเทศนี้มีอะไรบ้าง เพราะว่าแค่จากหน้าต่างเครื่องบินก็ดูสวยแล้ว

Attached Images

• 
• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

1 ชั่วโมง 20 นาทีผ่านไป เราก็มาถึงสนามบิน Brussels National Airport เป็นที่เรียบร้อย

แค่ประตูทางเข้าอาคารผู้โดยสารของสนามบินแห่งนี้ เขาก็บอกแล้วว่า Welcome to Europe เดี๋ยวเราจะพาไปหาคำตอบกันแน่ ๆ ว่าทำไมบรัสเซลส์จึงกล้าอวดอ้างเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่มีนครใหญ่ ๆ มากมายในยุโรปที่เด่นและดังกว่าบรัสเซลส์ ไม่ว่าจะเป็น ลอนดอน ปารีส แฟรงค์เฟิร์ท หรือโรม

Attached Images

• 
• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ก่อนจะไปดูว่าบรัสเซลส์ มีอะไรบ้าง ไปรู้จักประเทศเบลเยียมกันก่อนดีกว่าครับ

เบลเยียม มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรเบลเยียม (Kingdom of Belgium) มีเมืองหลวงคือกรุงบรัสเซลส์ เชื่อหรือไม่ว่ากรุงบรัสเซลส์หรือเมืองอื่น ๆ ในละแวกนี้นั้นมีอายุกว่า 1000 ปีแล้วแต่ว่าประเทศเบลเยียมนั้นเพิ่งจะมีอายุแค่ 181 ปีเองครับ โดยประเทศเบลเยียมนั้นเพิ่งจะแยกตัวออกจากประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 1830 นี่เอง เมื่อครั้งแยกตัวเป็นเอกราชนั้นได้มีการสถาปนารูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญด้วย ทำให้ประเทศที่ไม่ได้จะเก่าแก่อะไรนักประเทศนี้กลับมีกษัตริย์เป็นประมุข ผิดกับกระแสสาธารณรัฐนิยมของยุโรปในช่วงนั้น และก็มีการสถาปนาราชวงศ์ขึ้นเป็นประมุขของรัฐตั้งแต่นั้นมา แต่เบลเยียมก็ไม่เคยเป็นประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชย์เลย เพราะใช้ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญตั้งแต่ตั้งประเทศมานั่นเอง

เบลเยียมเป็นประเทศเล็ก ๆ ในยุโรปมีเนื้อที่แค่ 30528 ตารางกิโลเมตร (ประเทศไทยมีเนื้อที่ 513120 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าตั้ง 17 เท่า) มีประชากรทั้งประเทศแค่ 11 ล้านคน (อาจจะน้อยกว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลอีกครับ)

จากแผนที่ (โดย Google Map นะครับ) จะเห็นว่าประเทศเบลเยียมนั้นด้านล่างทิศใต้ติดประเทศฝรั่งเศสอันใหญ่โต ด้านทิศเหนือติดประเทศเนเธอร์แลนด์ ด้านตะวันออกติดมหาอำนาจเยอรมนีและประเทศน้องเล็กในกลุ่มประเทศ Benelux คือ ลักเซมเบิร์ก และข้ามทะเลเหนือไปทางตะวันตกก็เจอเกาะอังกฤษ

ธงชาติเบลเยียมประกอบด้วยสีดำ เหลือง และแดงเรียงกันในแนวตั้ง (อาจจะคล้าย ๆ กับธงชาติเยอรมัน อย่าสับสนนะครับ) ส่วนธงอีกผืนในภาพนั่นคือธงของสหภาพยุโรปนั่นเอง เบลเยียมเป็นหนึ่งในหกประเทศผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรป ตั้งแต่สมัยยังเป็นประชาคมยุโรปนู่นแหนะครับ

คนเบลเยียมพูดกันหลัก ๆ อยู่ 2 ภาษาคือ 1. เฟลมมิช หรือดัดช์ เป็นภาษาทางการในแคว้น Flanders หรือ Flemish Region ทางตอนเหนือส่วนที่ติดกับเนเธอร์แลนด์ 2. ภาษาฝรั่งเศส ในแคว้น Walloon ทางตอนใต้ที่ติดกับฝรั่งเศส (จริง ๆ แล้วส่วนที่ติดกับเยอรมนีในแคว้นนี้จะพูดเยอรมันด้วย)
ส่วนอีกแคว้นนึง(เบลเยียมมี 3 แคว้น)คือ Brussels Capital Region อันเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงนั้นใช้ทั้งเฟลมมิชและฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการ

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

เอาหละเราไปรู้จัก Brussels กันต่อ

วันที่เรามาถึงนั้นเป็นกลางเดือนกันยายนครับ ก็เป็นช่วงเวลาปลายหน้าร้อนกำลังจะเข้าฤดูใบไม้ร่วงและเตรียมจะหนาวในยุโรป บรัสเซลส์ในแวบแรกที่เราเห็นนั้นไม่ใช่เมืองใหญ่โตอะไร เพราะบรัสเซลส์ทั้งเมืองมีประชากรแค่ 1 ล้านคน เฉพาะแค่ย่านใจกลางเมืองที่เรียกว่า City of Brussels หรือตัวเทศบาลนั้นมีประชากรแค่ หนึ่งแสนหกหมื่นคนแค่นั้นเอง เล็กกว่าบรรดามหานครในเอเชียทั้งหลายทั้งนั้นแหละครับ แต่ด้วยประชากรที่ไม่เยอะมากนี่เองทำให้เมืองหลวงแห่งนี้ (ทั้งเมืองหลวงของเบลเยียมและเมืองหลวงแห่งยุโรป) เป็นเมืองที่ดูสบาย ไม่แออัด และเต็มไปด้วยสเน่ห์มากมาย

Attached Images

• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

คั่นเวลาก่อนจะไปเที่ยวกันต่อด้วยมื้ออาหารกันดีกว่า

เวลาที่บรัสเซลส์(และทั้งประเทศเบลเยียม)นั้นเท่ากับที่ซูริค คือใช้เวลา GMT+2 ในช่วงหน้าร้อน ซึ่งก็คือช้ากว่าเวลาในประเทศไทย 5 ชั่วโมงนั่นเอง ตอนนี้ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วขอพาไปรับประทานอาหารกันก่อนละกัน มื่อเที่ยววันนี้เรารับประทานกันที่ห้องอาหารของโรงแรม NH Hotel Brussels City Centre

เบลเยียมนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (EURO) นะครับ 1 ยูโร ตอนนี้ก็ราว ๆ 42 บาท

อาหารที่เราทานวันนี้ก็เป็น Set นะครับประกอบด้วย Main Course 1 จานแล้วก็ของหวานและกาแฟ กับเครื่องดื่ม 1 อย่าง ราคาก็ราว ๆ Set ละ 14 ยูโร

แต่ก่อนจะไปดูอาหารมาดูน้ำดื่มกันก่อน

ในประเทศแถบยุโรป (และประเทศที่ฝรั่งหัวทองอยู่กันทั้งหลายนั้น) นิยมน้ำดื่มอยู่ 2 แบบคือแบบอัดก๊าซ(คล้าย ๆ โซดา) และแบบ Still หรือ Plain Water คือน้ำเปล่านิ่ง ๆ เฉย ๆ ที่เราชาวไทยกินกันเป็นปรกติ ดังนั้นเวลาจะซื้อน้ำในประเทศเหล่านี้ดูให้ดีเสียก่อนว่า มันอัดแก๊สหรือไม่ เพราะบางคน(โดยเฉพาะคนไทย)ไม่ชอบดื่มน้ำมีแก๊สแน่นอน (เดี๋ยวจะโดนร่างทรงทักว่ามีแก๊สในท้อง)

อย่างในภาพ สีแดงคือแบบมีแก๊ส (หรือก๊าซ หากจะเขียนภาษาไทยให้ถูกต้อง) สีน้ำเงินคือแบบน้ำนิ่ง(Still Water) นั่นเอง

อ้ออีกประการนึงคือน้ำดื่มในขวดของประเทศในยุโรปทั้งหลายนั้นมักจะเป็นน้ำแร่แทบทั้งสิ้น เพราะว่าบรรดาประเทศเหล่านี้นั้นเขาอ้างว่าน้ำประปาสะอาดพอที่จะดื่มได้จากก๊อก ดังนั้นหากใครอยากดื่มน้ำเปล่า ๆ จริง ๆ ไม่เสียสตางค์สามารถเปิดก๊อกดื่มได้เลย ไม่ต้องไปเสียตังค์ค่าน้ำแร่ขวดละ 1.5 - 2 ยูโร (500 มล.) หรอกนะครับ แต่ก็เชื่อว่าคนไทยหลายคนนั้นจะขัดเขินหากจะต้องดื่มน้ำประปาดื่มได้จากก๊อก

ส่วนภาพที่สามนั้นคือขนมปัง และเนย มาพร้อมทุกมื้ออาหารฝรั่งแน่นอนครับ

Attached Images

• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

เอาหละมาดูอาหารกันบ้าง

ชอยส์เขามีให้เลือกว่าจะรับ ปลา หมู หรือเนื้อ ต่างคนก็เลือกกันแต่ละอย่างครับจะได้ถ่ายรูปให้ครบ

ปลานั้นก็ราดครีมซอสดังภาพหน้าตาดูน่ารับประทานเหมาะกับคนไม่อยากกินอะไรหนัก ๆ เหนียว ๆ

เนื้อมาเป็นแบบบาร์บีคิว พร้อมกับมันฝรั่งทอด

หมูมาเป็นสเตกพอร์คชอป พร้อมกับมันฝรั่งทอดเช่นกัน เคียงด้วยสลัดและหน่อไม้ฝรั่ง

หลังจากชิมแล้วผักที่นี่อร่อยมากครับสดดี ส่วนหมูและซอสนั้นก็เข้มข้นแต่ไม่ได้รสจัดนัก เหมือนอาหารฝรั่งทั่ว ๆ ไป

Attached Images

• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ปิดท้ายมื้อนี้ด้วย Macaroon และชาหรือกาแฟหนึ่งแก้ว

Belgium จัดเป็นชาติรักขนมชาติหนึ่งของยุโรป เพราะนอกจากชอคโกแลตที่มีร้านขายแทบทั้งเมืองมากกว่าร้านสะดวกซื้อทั้งหลายเสียอีกนั้น เบลเยียมยังมีชื่อในเรื่องขนมอีกหลายชนิด

Macaroon ชื่อเหมือนขนมฝรั่งเศส (และว่ากันว่ามาการูนหรือมาการงที่อร่อยที่สุดในโลกอยู่ในฝรั่งเศส)แต่จริง ๆ แล้วนั้น Macaroon มีรากศัพท์มาจากภาษาอิตาลี

แต่ว่าหลังจากชิมแล้ว เราว่ามาการูนในจานนี้ก็อร่อยไม่แพ้ใคร เป็นการเติมพลังก่อนจะออกเริ่มท่องบรัสเซลส์ในบ่ายวันนี้อย่างเป็นทางการเสียทีครับ

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

สำหรับการท่องเที่ยวในบรัสเซลส์นั้น

หากใครมากับทัวร์ ก็คงจะมีรถรับส่งไปยังสถานที่ต่าง ๆ สบายไป แต่หากท่านเป็นบรรดานักท่องเที่ยวอิสระ Backpacker หรือว่า FIT (Free Individual Traveler) นั้น บรัสเซลส์ก็มีรูปแบบการคมนาคมอันแสนจะหลากหายให้ท่านเลือกไม่ว่าจะเป็น

รถไฟใต้ดิน(Underground) รถราง(Tram) และรถบัส
สำหรับรายละเอียดเรื่องเครือข่ายของเส้นทางและวิธีการซื้อตั๋ว อัตราค่าโดยสารของทั้ง 3 ระบบนี้ก็เข้าไปดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ของ STIB หรือองค์การขนส่งมวลชนบรัสเซลส์ได้ที่ http://www.stib.be/s...atsen.html?l=en

อัตราค่าโดยสารคร่าว ๆ เที่ยวเดียวก็ประมาณ 1.70 ยูโร

Attached Images

• 
• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

หรือใครอยากสบายมากหน่อยก็เลือกใช้ Taxi ก็ได้ครับ สังเกตุให้ดี Taxi คันที่สองนั้นยี่ห้ออะไร

ค่า Taxi และรายละเอียดต่าง ๆ นั้นก็ไปดูได้ที่ http://www.taxis.be/?lang=en

คร่าว ๆ ก็เริ่มที่ 2 ยูโร

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือเช่าจักรยานปั่นเองรอบเมือง ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วเมืองจะมีจุดจอดจักรยานลักษณะนี้ เพื่อให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวมาเช่าไปขับขี่ได้ครับ พอไปถึงปลายทางก็หาจุดจอดแบบนี้แล้วคืนได้ง่าย ๆ รายละเอียดและวิธีการเช่าก็ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.brussels.be/artdet.cfm/4359 และ http://en.villo.be/ อัตราก็ 1 วันเริ่มต้นที่ 1.5 ยูโรเองครับ

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

สุดท้ายท้ายสุดคือ เดิน อย่างที่บอกไปแล้วว่าบรัสเซลส์ไม่ใช่เมืองใหญ่โตอะไรนักย่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ก็ไม่ได้ห่างไกลกันมากถ้ามีแรงหน่อยก็เดินได้ครับ แต่ว่าที่สำคัญคือเรื่้องรองเท้าเพราะถนนบรัสเซลส์ส่วนใหญ่ในย่านเมืองเก่าจะเป็นหินแบบนี้ ดังนั้นบรรดาผู้ที่สวมรองเท้าส้นแหลมทั้งหลายควรจะระวังให้ดี หรือใส่รองเท้าสบาย ๆ มาเดินดีกว่านะครับ

แผนที่บรัสเซลส์ราคา 3 ยูโร หาซื้อได้ตามร้านหนังสือ ร้านขายของที่ระลึกทั่วเมือง หรือหากใครไม่อยากเสียเงิน เปิดกูเกิลแมป วางแผนดี ๆ แล้วปรินท์ออกมาก็ใช้ได้ครับ

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

เอาหละพูดถึงเรื่องการเดินทางในบรัสเซลส์มามากมายแล้ว พาไปดูอะไรจริง ๆ จัง ๆ สักทีดีกว่า ที่แรกเราจะไปวันนี้คือ THE TRIUMPHAL ARCH (ARC DE TRIOMPHE) แปลว่าประตูชัยนั่้นแหละครับ ซึ่งประตูนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1880 เพื่อฉลอง 50 ปีที่เบลเยียมได้รับเอกราช (อย่างที่บอกไปแล้วว่าเบลเยียมเพิ่งจะเป็นประเทศเมื่อปี 1830 นี่เอง)

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

บริเวณรอบ ๆ ประตูชัยนั้นเป็นสวนครับ เรียกว่า THE CINQUANTENAIRE PARK และก็ตัวประตูขนาบด้วยพิพิธภัณฑ์สองแห่งคือ Royal Museums of Art and History และ Royal Museum of the Army and of Military History ก็คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะกับพิพิธภัณฑ์การทหารนั่นเอง

บรัสเซลส์นั้นเป็นเมืองที่มีพิพิธภัณฑ์มากมายหลายสิบแห่งครับและนี่ก็คือสองในนั้น

ทัศนียภาพบริเวณ Park แห่งนี้ก็ดูสวยงามดีครับมีต้นไม้และน้ำพุ เสียอย่างเดียวคือลานหน้า Arch หรือประตูชัยนั้น ใช้เป็นที่จอดรถด้วยครับ เวลาถ่ายรูปมาจึงติดรถมากมายอย่างที่เห็น

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ใกล้ ๆ ประตูชัยบริเวณหัวมุมถนน Frenkenstraat (Straat แปลว่าถนนในภาษาเฟลมมิชหรือดัตช์) เป็นที่ตั้งของ The Cauchie House หรือ La Maison Cauchie

Chuchie House เป็นบ้านส่วนตัวของ Paul Cauchie ที่สร้างขึ้นในปี 1905 ถือได้ว่าเป็นผลงานศิลปะแบบ Art Nouveau (อาร์ตนูโว)ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในบรัสเซลส์ (Franco Borsi, ‘Bruxelles 1900’)

สวยไหมหละครับ

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ http://www.cauchie.be/cauchie-house

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

สถานที่ต่อไปที่เราจะขอพาไปชมเรียกว่า Palais du Roi ในภาษาฝรั่งเศสหรือแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า King's Palace ซึ่งก็คือพระราชวังของพระราชาธิบดีแห่งเบลเยียมนั่นเอง อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าเบลเยียมนั้นเป็นราชอาณาจักรมีกษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ดังนั้นก็ต้องมีพระราชวัง แน่นอนว่าประเทศต่าง ๆ ในยุโรปนั้นล้วนมีพระราชวังแทบทุกประเทศ แต่ว่าบางประเทศก็เป็นพระราชวังที่ไม่ Active แล้วอย่างเช่นพระราชวังแวร์ซายในฝรั่งเศส ก็เพราะว่าฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐแล้วไม่ได้มีราชวงศ์ปกครอง พระราชวังจึงไม่ได้ใช้งานของราชวงศ์อีกต่อไป แต่ที่เบลเยียม Palais du Roi แห่งนี้ แม้จะดูไม่ใหญ่โต โอ่อ่า อลังการเหมือน พระราชวังแวร์ซาย แต่ที่นี่ยังใช้งานอยู่จริง

อย่างไรก็ตามพระราชวังที่ตั้งอยู่กลางกรุงบรัสเซลส์แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ราชวงศ์เบลเยียมใช้ประทับจริง ๆ แต่เป็นสถานที่สำหรับว่าราชการ หรือใช้ในงานพิธีต่าง ๆ ส่วนพระราขวังที่เจ้านายในราชวงศ์เบลเยียมประทับจริง ๆ นั้นจะตั้งอยู่ชานกรุงบรัสเซลส์ ดังนั้นพระราชวังแห่งนี้(ณ กลางกรุงบรัสเซลส์)จึงเปิดให้เข้าชมได้เป็นบางโอกาส

Attached Images

• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ด้านหน้าพระราชวังมีสวนสวยงาม ส่วนธงชาติเบลเยียมที่อยู่เหนือพระราชวังนั้นจะเชิญขึ้นสู่ยอดเสาก็ต่อเมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีนั้นประทับอยู่ในเบลเยียม

Attached Images

• 
• 

[ทีมข่าวHFLIGHT]

ตรงข้ามกับพระราชวังจะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่เรียกว่า Parc du Bruxelles Warandepark แต่ลานด้านหน้าพระราชวังตรงหน้าสวนนั่นแหละครับ จะมีรถขายอาหารมากหมายหลายชาติ และก็อย่างที่เห็นก็อิตาเลียน สเปน บรัสเซลส์มีแววความเป็นเมืองหลวงของยุโรปซะจริง ๆ แล้วหละทีนี้

Attached Images

• 
•