39 replies to this topic

[pokaday]

Advertisements

สวัสดีครับทุกท่าน ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า รีวิวนี้ ดองเค็มมากๆครับเพราะไม่มีโอกาสจะได้ทำซักที แต่ผมว่ามันก็ยังพอไหวนะครับ เพราะยังไงซะ ญี่ปุ่นก็ยังเป็นญี่ปุ่นเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปซักกะนิด
ไปญี่ปุ่นครั้งนี้จริงๆ จุดประสงค์หลักไม่ได้ไปเที่ยวครับ ต้องไปดูงานที่ Hiroshima University ครับ แต่ทว่า โอกาสช่างเป็นใจซะจริงๆ ดันไปตอนที่เค้ายังปิดเทอมกันอยู่ อีกสามวันถึงจะเปิดเรียนกัน (อันนี้ไม่ได้รู้มาก่อน หรือวางแผนใดๆทั้งนั้นนะครับ แต่โอกาสเป็นใจจริงๆ ) อีกทั้งยังอาจารย์ทางนู้นเค้าอยากให้เห็นอะไรต่างๆนานาของญี่ปุ่นเยอะๆ ก็เลยเหมือนไปเที่ยวมากกว่าครับ การไปครั้งนี้ไปกพรุ่นพี่อีกคนครับ ได้รับการต้อนรับอย่างดีครับ ^^

Attached Thumbnails

• 

[pokaday]

อย่างที่เกริ่นนำไปแล้วอะนะครับว่า โอกาสพาไปจริงๆ ดูงานกลายเป็นดูเมืองไปซะงั้นแล้วก็อย่างที่บอกไปเหมือนกันว่าดองเค็มจนเกินจะได้ที่ ก็เพราะตั้งแต่สมัยที่ BANGKOK AIRWAY มีdirect flight จากกรุงเทพไปฮิโรชิมานั่นแหละครับ หิหิ

ดูหน้าตาอาหารเช้าบนเครื่องกันซะหน่อยครับ

อ่า นั่นละครับเห็นละ เกาะอะไรก็ไม่รู้แหละ ญี่ปุ่นละครับ ครั้งแรกของผมเกิดขึ้นละ

[pokaday]

ไปถึงปุ๊บก็มีเจ้าหน้าที่จากทางนู้นมารอรับ โอ้โห อะไรจะดีขนาดนั้น พอมาถึงก็เห็นโชว์ป้ายชื่อของงผมเลยทีเดียว เดินเข้าไปหาปุ๊บ เค้าก็ค้นกระเป๋าพร้อมกับหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นนึงครับ แล้วก็อ่านตามที่เขียนมาครับ ^^ "welcome to Hiroshima. Please follow me. น่ารักซะจริง ผมกะรุ่นพี่ที่ไปด้วยกันก็เดินไปกะเค้า แล้วก็นั่ง taxi ไป มหาลัยเค้าเลย โอ้โห เป็นบุญก้นครับ ได้นั่ง taxi ไปซะด้วย ถูกใจครับ ประตูเปิดเองอัตโนมัติ คนขับใส่ uniform ยังกะในหนังเปี๊ยบ
แต่ไม่ได้ขอเค้าถ่ายหรอกครับ เพราะตอนนั้นกะลังง่วง - -" พอไปถึงแอบเห็นว่าค่าโดยสารมันตั้งหมื่นกว่าเยน O_o โอ้ อะไรจะแพงขนาดนั้น แต่ก็น่าจะเป็นงั้นแหละครับ นั่งเป็นชั่วโมงเลยมั้ง

[pokaday]

อ้อ ลืมไปเลยครับ ก็ครังแรกกะประสบการณ์เมืองนอกอะนะครับ นั่งรถยนต์ พอนั่งข้างหลังเราก็ไม่ได้จะคาดเข็มขัดกันหรอกใช่มะครับ แต่ไปที่นู่น เค้าบอกกลางทางครับ เพราะสังเกตเห็นว่า ผมสองคนไม่ได้คาดเข็มขัด อืมๆ ขอบคุณครับ
อะ ข้ามไป พอไปถึงก็นั่งรอไป นั่งรอนานมาก เพราะเค้ามีประชุมกัน พักใหญ่อาจารย์ก็เดินมาทักทาย ตามประสาละครับ แต่จากการที่ผมทำหน้าซะเหนื่อยเชียว เค้าก็เลยให้กลับไปพักที่โรงแรม หิหิ ไปถึงโรงแรมครับ โรงแรมที่เค้าจัดไว้ให้ ค่อนข้างดีเลยแหละครับ ใครไปเที่ยวก็แนะนำนะครับ ราคาไม่แพงมาก คืนนึงประมาณ 3600 เยน ครับ ชื่อ ASTER PLAZA อยู่ใกล้ๆกะ museum เลย เดินไปแค่ 5 นาทีเอง

[pokaday]

ไปถึงโรงแรมประมาณบ่ายโมงกว่าๆมั้งครับ คุณยามาดะ (ผู้ดูแล ดูเหมือนเป็นคุณหนูจัง) มาส่งแล้วก็ไปคุยกะทางโรงแรมให้ และบอกผมว่าโรงแรมเค้าให้เช็คอินได้ตอนบ่ายสามและ ตอนหกโมงเย็นจะมีนักศึกษามารับนะ ผมก็"ไฮ่ๆ อะริกาโตะโกไซมัส" ไป แต่ในใจคิด อ่าว ทำไงดีที่นี้แล้วจะให้ตูนั่งรเช็คอินเหรอไม่มีทางสิครับ ก็เลยฝากกระเป๋าไว้ แล้วก็เดินไปสำรวจเมืองกันครับ
เดินมั่วๆไป ก็ไปเจอแม่น้ำอันนี้ครับ

และก็ไอ้เจ้านี่


และอันนี้ก็เป็นความโชคดีอีกเช่นกัน ว่าช่วงนั้นต้นเดือนเมษายน ดอกซากุระบานเต็มที่เลยครับ ดังนั้นผมและรุ่นพี่ก็เลยต้องใช้โอกาสนี้แหละครับ ถ่ายรูป ถ่ายกันเข้าไป ถ่ายๆๆๆ ถ่ายตั้งแต่บ่ายโมง ยันบ่ายสี่ ฮ่าๆ ตามประสาคนบ้านนอกไม่เคยเห็นซากุระอะแหละครับ

[pokaday]

[pokaday]

เดินกลับมาโรงแรมครับ เข้ามาในห้องเดี๋ยวดูหน่อยละกันครับ มีอะไรในห้องบ้าง



เข้ามาในห้อง โยนกระเป๋าเข้ามุม ( ไม่ได้เอาใส่ตู้นะ ) แล้วก็ไปอาบน้ำ เตรียมตัวออกไปข้างนอกครับ
วันนี้วันแรกตามธรรมเนียมก็ต้องมี welcome party เค้าเห็นว่าคนไทยชอบกินของเผ็ดๆ เค้าไปพาไปกิน นาเบะ (รึป่าวหว่า) เป็นหม้อๆ คล้ายๆต้มกิมจิอะครับ มีผักมีหมู มีนู่นนี่นั่นมากมาย รสชาติใช้ได้เลยแหละครับ แต่สำหรับคนไทยแล้วถือว่าไม่เผ็ดมากนะครับ

และสุดท้ายก็เอาข้าวมาใส่ กลายเป็นเหมือนข้าวต้มเลยครับ กินกันจนหมดเลยทีเดียว เข้าใจเลยครับว่าต้องกินจนหมดจนเกลี้ยงเลย

[pokaday]

วันที่สองตอนเก้าโมงเช้าตรงครับ เพื่อนกลุ่มเดิมเมือวานมารอรับที่โรงแรมและบอกกะเราว่า จะพาเดินเที่ยวรอบเมืองวันนี้นะ
ที่แรกที่ต้องไปก็คือ hiroshima peace museum เพราะใกล้สุด ก็อยู่ใน Peace memorial park อะนะครับ ค่าเข้าชมถูกมาก 50 เยน เท่านั้น
แต่วันนี้เพื่อนๆบอกว่า เดี๋ยวมีไกด์ด้วย ดีครับ เค้าเล่าซะละเอียดเลย ฟังแล้วเศร้าครับ ใครอยากรู้เรื่องราวยังไงก็ลองไปเที่ยวดูนะครับ หรือไม่ก็ลองเปิดดูจากรีวิวของท่านอื่นๆ น่าจะมีเช่นกัน แต่ผมขอไม่เล่านะครับ ^^

[pokaday]

ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ ก็เลยขอถ่ายรูปกะไกด์ซะเลย หิหิ ก็ขอบคุณกันเป็นการใหญ่แหละครับ ให้ข้อมูลซะแบบว่าเต็มแน่นกันไปเลย พอมาถึงทางออกก็จะเจอ กะ ไอ่เจ้า อนุสาวรีย์ อยู่ไกลๆ และก็เห็น A-BOMB DOME ด้วยละครับ
อ้อทุกๆที่ในญี่ปุ่นมักจะมีตัวสแตมป์ที่ไม่เหมือนกันครับ ผมก็ตามเก็บทุกที่ที่ผมไปมา ^^


รูปควันเห็ดนี่ สูงเท่าตึกหลายสิบชั้น เมื่อมองมาจาก นางาซากินะครับ รูปนี้ถ่ายไว้โดยช่างภาพที่นางาซากิ โอ้โหไม่อยากจะคิด ตั้งไกลขนาดนั้นยังเห็นใหญ่โตขนาดนี้ได้

[pokaday]

เดินต่อจาก museum ออกมาก็จะพบกับ monument อันนี้

เพื่อนๆ เจ้าบ้านเล่าให้ฟังว่า ข้างในนั้นน่ะ จะมีสมุดที่จารึกชื่อผู้ที่ตายจากระเบิดไว้ และทุกๆปีก็จะมีการเปิดออกมาเพื่อเพิ่มชื่อของผู้ที่ตายลงไปอีก เห็นว่าเค้าจะมีพิธีนี้ทุกๆปี หมายความว่า ยังมีคนที่ยังไม่ตายอยู่อีกเหรอ หรือแค่เพียงเค้ามาสักการะบรรพบุรุษของเค้าที่ตายไป

มองลอดไอ่เจ้านี่ไป เค้าบอกว่าจะเห็นไฟและ โดม ซึ่งเค้าบอกว่าไฟอันนี้จะไม่ดับไป อืม แต่มีความหมายโดยนัยอะไรยังไง ผมก็ไม่รู้นะครับ เพราะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง หิหิ ภาษาอังกฤษแบบญี่ปุ่น และ อังกฤษแบบงูๆปลาๆ แบบไทยบวกกับญี่ปุ่นนิดหน่อย แต่ก็พอไปกันได้

[pokaday]

เดินต่อไปอีกหน่อย นึกว่าที่ต่อไปก็คงเป็น A BOMB ที่เราเห็นกันสินะ ผิดครับ เราเจอ ซาดาโกะ ก่อนเจ้าของตำนานนกกระเรียนพันตัวอยู่ที่นี่ครับ ความพยายามอย่างสูงที่จะพับให้ได้นกกระเรียนพันตัว เพราะความหวังว่าจะหายจากโรคที่เป็นอยู่ แต่เธอก็พับได้ไม่ถึงพันตัวครับ

[pokaday]

อะทีนี้ มาถึงกันซะที กะ มรดกโลกของฮิโรชิมา A BOMB DOME ครับ ถ้าเปรียบเทียบโมเดลที่เป็นตึกเต็มรูปแบบของสมัยนั้น จากใน museum

กะอันที่เหลืออยู่ตอนนี้

อืม แต่ผมก็ทึ่งนะ ที่มันยังเหลืออยู่ได้ตั้งเท่านี้ ในขณะที่พื้นที่รอบๆมัน ไม่เหลือเลย

ข้างๆกันมีเจ้าต้นนี่อยู่ ก็ถามไปเฉยๆ นี่แหละครับเห็นมันสวยดี เพื่อนบอกว่ามันคือต้นสันติภาพ แล้วก็ยังเล่าอีกว่า ในแม่น้ำนี้เนี่ยมีคนตายเต็มเลย เพราะว่าคนที่โดนระเบิดอะ เหมือนกะคนโดนไฟไหม้ ก็วิ่งลงไปในแม่น้ำ แล้วก็ตายกันเต็มไปหมด กลับมาคิดอีกที มันพึ่งผ่านไปไม่กี่สิบปี แสดงว่ากัมมันตรังสีมันก็ยังคงจะเหลืออยู่สินะเนี่ย นี่เราโดนไปเท่าไหร่แล้ว ^^ ขำๆครับ อย่าคิดมาก

[pokaday]

ออกจากนี่ไป เพื่อนๆ ก็พาไปขึ้นรถราง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ เพราะที่ ฮิโรชิมาไม่มีรถไฟใต้ดินครับ มันเป็นเมืองปากแม่น้ำ เค้าว่ายังงั้น



นี่แหละครับเพื่อนๆ ผม ^^ มุ่งหน้าไปแถวๆ main street จริงๆไม่ได้จะไกลกันซักเท่าไหร่ สงสัยอยากให้ลองขึ้นรถรางมั้งครับ ตอนนี้จะไปกินมื้อเที่ยงกันละครับ

[pokaday]

มื้อเที่ยงวันนี้จะเป็นของขึ้นชื่ออย่างนึงของฮิโรชิมาครับ นั่นคือ โอโคโนมิยากิ แบบฮิโรชิมา เค้าบอกว่าร้านนี้อร่อยมาก ชื่อร้าน ฟุมิจัง ถ้าอ่านไม่ผิดนะ ^^

ภายในร้านมีไอ่เจ้า มาเนกิ เนะโกะ เต็มเลยครับ เรียกภาษาไทยก็แมวกวักของเรานั่นเอง

มาละครับหน้าตาไอ่เจ้าที่ว่า มันก็คือ พิซซ่าญี่ปุ่น ครับแต่ที่ต่างจากเมืองอื่นๆ ก็คือ ที่ฮิโรชิมาจะใส่เส้นเข้าไปด้วย มีให้เลือกเป็น โซบะ หรือ อุด้งก็ได้ ผมอยากลองทั้งสองผมก็สั่ง half เลยสิครับ หิหิ

กินกันเกลี้ยงละ ก็ออกเดินทางต่อ ไปยัง Hondori ถนนสายช็อปปิ้งของ ที่นี่ครับ แต่ก็แค่มาเดินแบบผ่านๆ เพราะต้องรีบไปต่อที่อื่นครับ บอกเพื่อนไว้ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยมาเดินตอนเย็นๆ

[pokaday]

ที่สุดท้ายของวันนี้ที่เพื่อนจะพาทัวร์ก็คือ ปราสาทฮิโรชิมา ครับ ปราสาทของโชกุนสมัยก่อนนู้น เดินมาจาก Hondori ไกลอยู่พอสมควร แต่อากาศดีออกหนาวนิดหน่อย เดินสบายๆครับ แต่เพื่อนบอกว่าวันนี้ร้อนเนอะ - -"
พอเดินไปถึงก็จะเห็นปราสาทชั้นนอกก่อนครับ

ในชั้นนี้เข้าเยี่ยมชมได้ไม่เสียตังครับ

ข้างในจะเป็นห้องโถงใหญ่ๆ เหมือนเป็นที่ว่าราชการอะไรประมาณนั้น ในตู้มีโชว์หมวกพับด้วยกระดาษ สวยดี

เดินๆไปสังเกตเห็นว่ามีช่องๆ สามเหลี่ยมเป็นระยะๆ เลยเกิดสงสัย ถามแล้วจึงได้ความว่า เป็นช่องที่ใช้ยิงธนูลอดออกไป เมื่อมีข้าศึกมาบุกน่ะครับ อืมๆ

[pokaday]

เดินต่อเข้าไปในปราสาทชั้นใน ระหว่างทางจะพบกะต้นยูคาลิปตัส ซึ่งเหลือรอดมาจาดระเบิดในครั้งนั้นครับ ต้นใหญ่ใช่เล่น

และแล้วก็จะมาถึงปราสาทชั้นใน เป็นปราสาทห้าชั้นครับ หลังนี้เป็นหลังใหม่ที่สร้างขึ้นมาทดแทนหลังเดิมที่ถูกทำลายไปราบคาบโดยระเบิดนั่นเอง

แต่ปราสาทหลังในนี้จะมีคาเข้าชม 360 เยน ภายในก็จะเป็นคล้ายๆ พิพิธภัณฑืแหละครับ มีโชว์อาวุธ นู่นนี่นั่น และที่สำคัญคือ

นี่ครับ ยอดหลังดารูปปลาคาร์ฟอันเดิม ที่ยกออกมา นี่แหละครับที่มาของปราสาทปลาคาร์พ

[pokaday]

แล้ววันนี้ก็จบลงที่นี่ครับ ผมกะเพื่อนแยกย้ายกัน และเพื่อนนัดหมายไว้ว่าพรุ่งนี้ตอนเก้าโมงเหมือนเดิมนะ พรุ่งนี้ไปมิยาจิมากัน โอ้ รีบตกลงทันใดครับ หิหิ มาถึงตอนนี้ละ ยังไม่ได้ดูงานเลยซักนิดเดียว เที่ยวตลอด ฮ่าๆ หลังจากแยกกันแล้ว ผมกะรุ่นพี่ก็เดินกลับไปที่ hondori ไปหาข้าวกินนั่นเองครับ ไม่รู้จะกินอะไร เดินดูหน้าร้านก็แล้ว มันก็น่าอร่อยนะครับ แต่ไม่เลือกครับ เหลือบไปเห็นร้านนึงอยู่ชั้นใต้ดิน ก็เดินลงไปเลย เอาร้านนี้แหละ ไม่รู้หรอกครับเค้าขายอะไร สุดท้ายอันที่กินก็คือ ไอ่นี่ครับ สปาเกตตี้ซอสหมึกดำ มาญี่ปุ่นไม่ได้จะกินอาหารญี่ปุ่นเล้ยย

แล้วก็พวกนี้ด้วย


ก่อนจะกลับก็เลยต้องเดินย่อยซะหน่อย หมดไปกะพวกนี้หลายตังอยู่เหมือนกันครับ

[pokaday]

ดึกแล้วๆ เดี๋ยวค่อยมาต่อ เกาะศักดิ์สิทธิ์ มิยาจิมา และ ฮานามิ ครับ

[pokaday]

วันที่สาม เริ่มต้นเหมือนเดิมครับ เพื่อนมารับที่โรงแรมแล้วก็มุ่งตรงไปยัง hiroshima station เพื่อไปขึ้นรถไฟไปมิยาจิมากัน พอไปถึงก็ต้องต่อด้วยเรือเฟอรี่ข้ามไปที่เกาะอีกต่อนึง
แต่ก่อนหน้าที่เราจะข้ามเกาะกัน ต้องแวะซื้อเบนโตะก่อน เป็นร้านขึ้นชื่อของแถวๆนี้ครับ

ร้านนี้เค้าขายข้าวหน้าปลาไหลย่าง จริงๆผมไม่ค่อยชอบกินปลาไหลเท่าไหร่นะ แต่หนนี้ก็ต้องกินครับ

ที่หน้าร้านผมก็ไปสะดุดตาไอ่สองอย่างนี่เข้า คาดว่าน่าจะเป็นกล่องจดหมายมั้งครับ ก็เจ้าแมวกวัก ที่หน้าตาน่าเกลียดมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

อะ ซื้ออะนาโกะเบนโตะกันเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปขึ้นเรือไปฟากนู้นกันเลย คนเยอะไม่เบาครับ

[pokaday]

นู่นครับ โทริอิสีแดงเด่นเป็นสง่าอยู่ไกลๆนู่น ถ่ายรูปกันใหญ่ครับ สวยๆ

มาถึง ก็จะมีเจ้ากวางเจ้าบ้านมารอรับเต็มไปหมด เพื่อนรีบเตือนเลยครับว่า กวางที่นี่มันนิสัยไม่ดีนะ ชอบแย่งกระดาษไปกิน - -"

อะก็ระวังตัวกันไป วันนี้เป็นวันน้ำลงครับ สามารถเดินไปที่โทริอิได้เลย



ถ่ายรูปกันเสร็จ เพื่อนบอกว่านี่ก็เป็นครั้งแรกนะที่ได้มาที่นี่ช่วงซากุระบาน