Advertisements
จากความเดิมตอนที่แล้วเราต้องลงมาเอากระเป๋าเป้ที่ฝากไว้นะค่ะ พอถึงที่หมายสายตาเราเหลือบไปเห็นป้ายเขียนว่า "ดอยชัวร์ญ่า" (Doi Sureya) ตรงขึ้นไปอีก 1.2 กิโล เราเลยบอกคุณแฟนว่า ขอขึ้นไปดูหน่อยนะ เพราะว่าตอนแรกว่าจะพักที่นี่ ดูในเน็ทแล้วสวย แต่ตอนโทรไปจองช่วงเวลาที่เราจะมาพักดันเต็มหมดแล้ว
เศร้าจุง



ผ่านแถว "บ้านพักสวนดอกไม้" ก่อนค่ะ ตรงนี้เจ้าหน้าที่ของดอยชัวร์ญ่าแนะนำมาว่าสวยเหมือนกัน เราก็โทรไปจองไว้แต่ไม่ได้ไปพัก เพราะเปลี่ยนใจไปพักที่บ้านป่าบงเปียงแทน ขอแค่เก็บภาพเป็นที่ระลึกก็พอ (หลายคนอาจสงสันว่าทำไมแต่งตัวแบบนี้ ขนาดน้องเราเองเห็นยังบอกว่ายังกะไปขั้วโลกเหนือ ไม่ใช่ค่ะ...มันก็หนาวในระดับหนึ่ง แถมเวลาขี่มอไซต์ขึ้น - ลงดอย มันจะยิ่งหนาวกว่าจนจมูกเย็น มือชา หน้าชา ถุงมือหนังยังเอาไม่อยู่คิดดูละกัน แต่ที่สำคัญกว่าความหนาวคือ แดดค่ะ อากาศดี เย็น สบายนี่แหละตัวดี เราเคยมาแล้วตอนไปทำงานที่เชียงใหม่ไม่ทาครีมกันแดด ไม่ใส่เสื้อ ไม่ปกป้องผิว กลับกรุงเทพฯ มา...ดำ...ยังกะไปทะเล
ครั้งนี้เลยขอแบบจัดเต็ม ประโคมครีมทาหน้า ทาผิว เอาเสื้อผ้าปิดทับอย่างหนาตราช้างไปเลย ป้องกันได้ดีด้วยแหละ ยกเว้นตรงแก้ม/จมูก /คาง ผิวเป็นสีแทนไปเลย เพราะไม่ได้ใส่หมวกไอ้โม่งแบบคุณแฟน
)



พอถ่ายรูปเสร็จมีคนพื้นที่เดินขึ้นมาพอดี หอบใบตองมาด้วย แกบอกว่า "ไปเที่ยวน้ำตกสองพี่น้องข้างหลังที่เห็นสิ คนชอบไปเยอะ แถวนั่นมีดอกซากุระด้วยนะ " พอได้ยินคำว่า "ดอกซากุระ" เรางี้หูผึ่งเลย "อ๊ะ!!! บานแล้วเหรอ ไหนว่ายังไม่บาน" เลยถามทางพี่เขาก็ชี้บอกทางไปให้ แต่ต้องย้อนขึ้นไปทางดอยอินทนนท์แล้วอ้อมเข้าด้านหลังของหมู่บ้าน (มองเห็นทางไปอยู่ แต่อ้อมไปไกลเหมือนกันนะ ขึ้เกียจอะ) พี่เขาเลยบอกว่าถ้าครงนั่นไกลไป ข้างบนขึ้นไปอีกนิด ( 8 กิโล) ก็มีดอกซากุระตรงสวนของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เริ่มบานแล้วนะ เราก็โอเคค่ะ เห็นป้ายมันเขียนบอกว่าไปทางขุนวางด้วย และจากจุดนี้ไปอีกไม่ถึงโลก็ถึงที่พัก "ดอยชัวร์ญ่า" (Doi Sureya) แล้วค่ะ คนเยอะพอสมควร บ้านพักเต็ม แถมกางเต้นท์เพียบ ดีแล้วที่ไม่มาพัก คงวุ่นวายน่าดู