สวัสดีชาว Hflight ทุกท่านค่ะ
วันนี้ จขกท. จะพาไปหม่ำ หม่ำ ไกลถึงเมืองแมริด ประเทศสเปน กันเลยค่ะ
รีวิวนี้ได้รับอานิสงส์จากการไปทำงานที่สเปนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และมีโอกาสได้แวะแมริดอยู่สองสามวัน เพราะฉะนั้นแล้ว ใครที่อยากจะขอคำแนะนำเรื่องการเที่ยวสเปน ก็ต้องขออนุญาตออกตัวก่อนเลยว่าไม่ถนัดเรื่องทัศนาจร แต่ถ้าจะมาขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องอาหารการกิน คุณจะได้รับโอกาสนั้น ...เดี๋ยวนี้ (อิ อิ)
ก่อนจะไปสเปนครั้งนี้ ก็พอมีเวลาหาข้อมูลเรื่องร้านอาหารที่ดังๆ ในสเปนมาบ้าง เลยพอทำให้ทราบว่าบรรดาร้านอาหารที่เป็น Michelin 3 ดาวนั้นไม่มีอยู่ในเมืองสำคัญๆ ของสเปนอย่างบาเซโลนาและแมริดเลย เรียกได้ว่าขากินประเภทแฟนพันธุ์แท้จะต้องเดินทางออกไปนอกเมืองกันทั้งนั้น โดยเมืองที่อุดมด้วยร้านอาหารที่ได้รับดาว Michelin เป็นจำนวนมากจะอยู่ที่เมือง San Sebastian ทางตอนบนๆ ของประเทศค่ะ ทั้งนี้ ร้านที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกของปีนี้ก็อยู่ในประเทศสเปนด้วยค่ะ ชื่อร้าน El Celler de Can Roca กลับอยู่ที่เมือง Girona ห่างจากบาเซโลนาประมาณ 1 ชั่วโมง (http://www.cellercan...enu/menu_a.html) และถ้าคิดจะมาทานอาหารที่ร้านนี้จะต้องจองกันข้ามปีเลยทีเดียว
ถ้าจะกล่าวถึงเมืองแมดริดอย่างเดียว ก็มีร้านอาหารระดับ Michelin 2 ดาว ถึง 4 ร้าน ได้แก่ El Club Allard, Ramon Freixa, Santceloni และ Sergi Arola (http://www.andyhayle...sortby=6&size=0)
ส่วนร้านอาหารที่จะพาชาว Hflight ไปตะลุยกัน คือ ร้าน El Club Allard (http://www.elcluballard.com/) ของเชฟ Diego Guerrero หนึ่งในเชฟมาดเซอชาวสเปนที่มีชื่อเสียงในระดับโลก
อาหารมื้อนี้มีชื่อว่า Revolution Menu สนนราคาอยู่ที่ 115 ยูโร (รวมภาษีแล้ว)
เชิญชมได้ละค่ะ
โคมไฟในร้านสวยมั้ยค่ะ อิ อิ
เืมื่อมานั่งที่โต๊ะอาหารก็จะเจอกับแผ่นกระดาษนี้ค่ะ หลังจากนั้นก็จะมีครีมอะไรสักอย่างมาเสิร์ฟ
จากนั้นคุณบริกรก็มาแจ้งว่าให้เอาแผ่นกระดาษจิ้ม เพราะกระดาษทำมาจากมันฝรั่ง ส่วนครีมก็เป็นโฟมที่ทำมาจากถั่วลิสงค่ะ
จขกท. ได้สั่ง cava มาด้วยค่ะ รสชาติดีทีเดียว
เย็นชื่นใจ
จานที่สอง คือ Purple Cabbage
ด้านล่างสุด คือ ใบกะหล่ำที่ทำให้แข็งด้วยไนโตรเจน วางซ้อนด้วยอโวคาโดและปลาสด เวลาทานต้องหยิบเข้าปากแล้วทานให้หมดในคำเดียว เพราะใบกะหล่ำเมื่อถูกความร้อนจากนิ้วมือจะอ่อนยวบอย่างรวดเร็วค่ะ รสชาติดีเลยค่ะ มีหลายผิวสัมผัสเลยทีเดียว เพราะใบกะหล่ำเมื่อโดนความร้อนในปากก็อ่อนตัวโอบชิ้นปลาที่มีเนื้อแน่น เข้ากับอโวคาโดเนื้อนุ่มๆ มันๆ เป็นอย่างดี
จานที่สาม คือ Game truffle with foie and mushroom
จากนี้มีความพิเศษอยู่ที่นอกจากเราจะได้รับรูปและรสแล้ว ยังมีกลิ่นตามมาด้วย!!
กลิ่นที่ว่านี้มาจากก้นชามที่มีลักษณะกลวง โดยเชฟได้อังควันจากไม้เอาไว้ที่ก้นชาม เวลาทานให้ยกชามขึ้นก็จะได้กลิ่นป่าดงพงไพรที่มาจากก้นชามค่ะ
ไอเดียนี้น่าจะมาจากการที่อาหารจานนี้มีรสชาติค่อนข้าง earthy อยู่เยอะ ก้อนสีน้ำตามในชาม คือ ตับห่านที่เอามาบดและปั้นให้เหมือนกับเห็ดทรัฟเฟิล ผิวสัมผัสเหมือนทานชอคโกแลตทรัพเฟิล แต่รสชาติจะทำให้รู้เลยว่าเป็นอาหารคาว ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ในจานก็เอาไอเดียมาจากสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นจากในป่าค่ะ
จานที่สี่ คือ Caviar Leaf
จากนี้มีเทคนิคของจานแรกบวกจานที่สอง คือ แผ่นขาวๆ ทำมาจากมันฝรั่ง เวลาทานก็หยิบแผ่นขาวๆ ขึ้นมาทั้งชิ้นแล้วทานเหมือนขนมเบื้องบ้านเราอะค่ะ
ใบไม้ที่วางซ้อนด้วยคาเวียร์ก็ถูกทำให้แข็งด้วยไนโตรเจนเช่นกัน
จานที่ห้า คือ Mini Babybell of Camember truffee
จานนี้จะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือ ลูกชุบไส้ชีสค่ะ เปลือกแดงๆ น่าจะทำมาจากวุ้นเจลาติน ข้างในเป็นชีสเหลวๆ รสชาตินัวๆ พอใช้มีดตัด ชีสก็จะไหลเยิ้มออกมา ชิ้นเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม ทานกับขนมปังกรอบแท่งรสชาติกรอบๆ เค็มๆ อร่อยเป็นที่สุดค่ะ
จานที่หก คือ Mushroom and seasonal vegetables "papilotte"
เป็นซุปใสใส่ผักที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เสิร์ฟบนกระทะใบน้อยที่มีหินกรวดร้อนๆ ใส่อยู่ ตัวซุปมาเป็นถุงอย่างนี้เลยค่ะ เวลาทานคุณบริกรจะเอากรรไกรมาตัดจุกออก
จากนั้น กลิ่นซุปก็จะถูกปลดปล่อยมาเตะจมูกเรา พาลให้น้ำลายไหลแผล็บๆ รสชาติจะออกเค็มๆ หวานๆ เหมือนซุปตุ๋นเครื่องยาจีนเลย กลมกล่อมมากๆ